สิ้นเสียงนกหวีดยาวของ “มาร์ค ฮัลซีย์” บนท้องทุ่ง “เวมบลีย์” เสียงเฮปนเสียง “กระต๊าก” ก็ระงมทั่วทั้งสนาม “แฟนไก่เดือยทอง” ต่างเบิกบานกับชัยชนะที่ตัวเองได้รับ หลังจากไขว่คว้าหาความสำเร็จมานาน หลังจากความสำเร็จล่าสุดที่ชาวไก่ได้รับครั้งล่าสุด ต้องนับย้อนไปเมื่อปี 1999 กับแชมป์ “เวิร์ธธิงตัน คัพ” ทีเดียว นับระยะเวลารวมแล้วก็ล่วงเลยมากว่า 9 ปี ไม่ขาดไม่เกิน
ค่ำคืนแห่งความสำเร็จของสเปอร์ส ครั้งนี้ เป็นที่คาดหมายของบรรดาเกจิทั่วทั้งเกาะอังกฤษ ไม่ใช่แค่การได้ “เจ้าพ่อบอลถ้วย” อย่าง “ฮวนเด้ รามอส” มาคุมบังเหียนเท่านั้น แต่เป็นเพราะประวัติศาสตร์เมื่อปี 1999 มันวกกลับมาอีกครั้ง
จนหลายคนเชื่อว่า นี่คือปรากฏการณ์ “เดจาวู”
ทันทีที่ “ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์” คว้าแชมป์ลีค คัพ ได้สำเร็จ นอกจาก “แฟนไก่เดือยทอง” จะได้เริงร่าไปกับความสำเร็จของทีมรักแล้ว บรรดาเหล่า “สาวกปีศาจแดง” ต่างก็ร่วมดีใจไปกับความสำเร็จครั้งนี้ด้วย เพราะนอกจากจะทำให้ทีมคู่ปรับในช่วงหลังอย่าง “เชลซี” กลับจาก “เวมบลีย์” ด้วยมือเปล่าแล้ว ยังเป็นอีกก้าวที่จะเรียกให้ความชื่นมื่นเหมือนเมื่อครั้งปี 1999 คืนกลับมาอีกครั้ง กับความสำเร็จระดับ “ทริปเปิ้ลแชมป์”
หลายเสียงพูดตรงกันว่า “เดจาวู” ยังเกิดกลับสเปอร์ส ได้
แล้วทำไม “เดจาวู” จะย้ายฝั่งมาเกิดกับยูไนเต็ด บ้างไม่ได้ แต่เมื่อมองให้ดี สถานการณ์ของทั้งสองทีมช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สถานการณ์ของสเปอร์ส เมื่อปี 1999 กับปี 2008 ช่างเป็นอะไรที่สอดคล้องกลมเกลียวกันอย่างเหลือเชื่อ แม้ในปี 1999 สเปอร์ส จะเริ่มต้นแข่งขันในรอบ 2 ต่างจากในปีนี้ที่ได้สิทธิเริ่มแข่งขันที่รอบ 3 แต่ความเหมือนก็บังเกิดขึ้น นับตั้งแต่รอบ 3 นี้เป็นต้นไป ในปี 1999 สเปอร์ส ชนะคู่แข่งด้วยสกอร์เดียว คือ 3-1 จนกระทั้งถึงรอบรองชนะเลิศ ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะเหนือ “นอร์ธแธมป์ตัน” การโค่น “ลิเวอร์พูล” หรือแม้แต่การล้ม “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” เช่นเดียวกับในปี 2008 นี้ สเปอร์ส ก็ปราบคู่แข่งด้วยสกอร์เดิมจนไปถึงรอบรองชนะเลิศอีกครั้ง ด้วยชัยชนะ 2-0 ในการเจอกับ “มิดเดิลสโบรซ์” “แบล็คพูล” และ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”
นอกจากนั้นรอยประวัติศาสตร์ยังซ้ำลงไปอีกในรอบรองชนะเลิศ เมื่อการแข่งขันในรอบรองชนะเลิศปีนี้ สเปอร์ส ต้องลงแรงถึง 2 ครั้ง กว่าจะผ่านคู่แข่งอย่าง “อาร์เซน่อล” ไปได้ เฉกเช่นเดียวกับการลงทำศึกรอบรองชนะเลิศกับ “วิมเบิลดัน” เมื่อปี 1999 เหมือนกันอีกอย่างไม่น่าเชื่อ!!! ยิ่งรอบชิงชนะเลิศในปีนี้กลับมาฟาดแข้งกันที่ “เวมบลีย์” อีกครั้ง หลังจากต้องลี้ภัยไปนานถึง 7 ปี ทำให้สถานการณ์ของสเปอร์ยิ่งใกล้เคียงเมื่อปี 1999 เข้าไปใหญ่ แล้วสิ่งที่หลายคนคาดหมายก็กลายเป็นจริง เมื่อสเปอร์ส คว้าแชมป์ “ลีค คัพ” ครั้งที่ 48 มาครองได้สำเร็จ นับเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ของสโมสร ซึ่งครองแชมป์รายการนี้มากที่สุดเป็นอันดับ 3 เป็นรองเพียงแค่ “ลิเวอร์พูล” (7 สมัย) และ “แอสตัน วิลล่า” (5 สมัย) เท่านั้น
แต่สถานการณ์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเทียบระหว่างปี 1999 กับซีซั่นนี้ แทบจะไม่มีอะไรซ้ำรอยเดิม อย่างที่สเปอร์ส เผชิญก่อนหน้านี้เลย
“แชมป์พรีเมียร์ ลีค”
เมื่อปี 1999 “ปีศาจแดง” ยึดบัลลังจ่าฝูงได้ก่อนจะขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ และครอบครองไว้จนจบฤดูกาล แถมทั้งฤดูกาลยังพ่ายให้คู่แข่งเพียงแค่ 3 นัดเท่านั้น แต่ฤดูกาลนี้ หมดโปรแกรมฝาดแข้งในเดือนกุมภาพันธ์ไปแล้ว “ยูไนเต็ด” ยังคงตามหลังจ่าฝูงอยู่ 3 แต้ม แล้วยังต้องพบกับความพ่ายแพ้ไปแล้วถึง 4 นัดด้วยกัน
“แชมป์เอฟเอ คัพ”
ฤดูกาลนี้ เอฟเอ คัพ ผ่านมาถึงรอบ 6 แล้ว แต่ไม่มีสถิติไหนเลยที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงเมื่อปี 1999 ได้ ไม่ว่าจะเป็นผลการแข่งขันที่ดูสะเปะสะปะ จนไม่สามารถหา “ความน่าจะเป็น” ได้
หรือแม้แต่คู่แข่งในฤดูกาลนี้ “ปีศาจแดง” ล้วนต้องเผชิญหน้ากับทีมร่วมลีคมาทุกรอบ ต่างจากปี 1999 ที่ต้องเจอกับ “ฟูแล่ม” ในการแข่งขันรอบ 5 โดยที่ “เจ้าสัว” ยังเล่นอยู่แค่ “ดิวิชั่นสอง” เท่านั้น
“แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีค”
ในปี 1999 ยูไนเต็ด ต้องเริ่มต้นด้วยรอบคัดเลือก เมื่ออันดับในลีคฤดูกาลก่อน เป็นรองให้แก่ “อาร์เซน่อล” แถมการฝ่าฟันรอบแบ่งกลุ่มยังเป็นงานยากลำบาก เมื่อต้องมาอยู่ร่วมสายกับทั้ง “บาร์เยิร์น” และ “บาร์เซโลน่า” ดีที่ยังเอาตัวรอดมาได้ในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่มที่ทำผลงานได้ดี ด้วยการชนะ 2 เสมอ 4 แต่ฤดูกาลนี้ “ปีศาจแดง” ผ่านเข้าสู่รอบน๊อคเอาท์อย่างสบาย ด้วยผลงานชนะ 5 เสมอ 1
แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเหตุการณ์ใดในฤดูกาลนี้ที่ไม่สอดคล้องกับเมื่อปี 1999 ซะเลย ในปี 1999 “ยูไนเต็ด” ลงเล่นนัดกระชับมิตรในช่วงเดือนมกราคมกับ “อเบอร์ดีน” และพ่ายให้กับเจ้าถิ่น ส่วนฤดูกาลนี้ “ปีศาจแดง” ลงเล่นกระชับมิตรในช่วงนั้นกับ “อัล ฮิลาน” ซึ่งก็ปราชัยกลับมาเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้น เมื่อปี 1999 “ยูไนเต็ด” เสริมผู้เล่นแดนหน้าด้วยการมาถึงของ “ดไวท์ ยอร์ค” และได้จับคู่กับ “แอนดี้ โคล” ผนึกกำลัง “คู่หูผิวหมึก” ได้อย่างลงตัว มาในฤดูกาลนี้ “ปีศาจแดง” ต้อนรับขับสู้ผู้เล่นแดนหน้าคนใหม่อีกครั้งด้วย “คาร์ลอส เตเบซ” ซึ่งจะได้ประสานงานร่วมกับ “เวย์น รูนี่ย์” จนเกิด “คู่หูหมูบิน” อย่างทุกวันนี้ โดยทั้ง “ยอร์ค” และ “เตเบซ” ต่างเป็นชาวอเมริกาใต้ และพิสูจน์ตัวเองบนเวทีพรีเมียร์ ลีค มาแล้วเช่นเดียวกัน
แต่เหนืออื่นใด ณ เวลานี้ “ยูไนเต็ด” ก็ยังคงอยู่บนเส้นทาง “สามแชมป์” แม้จะตามหลังจ่าฝูงอยู่ถึง 3 แต้ม … แต่การแข่งขันที่เหลืออีก 11 นัด ก็เพียงพอสำหรับการยึดจ่าฝูงมาเป็นของตน แม้จะต้องมาเจอกับทีมร่วมลีคอย่าง “ปอร์ทสมัธ” … แต่ไม่งานยาก เมื่อได้ลงเล่นในโรงละครแห่งความฝัน หรือแม้จะทำได้แค่เสมอ “ลียง” มาในนัดแรก … แต่อเวย์โกล์ที่พ่วงมาด้วย ทำให้หนทางสู่รอบต่อไปช่วงสดใส
และที่สำคัญ…ผู้นำทีมทั้งเมื่อปี 1999 และในฤดูกาลนี้ ใช้ชื่อเดียวกัน “อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน”
chokechone11
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC